อย่าลืม!! ใช้แต้มสะสมเป็นส่วนลดในการสั่งซื้อสินค้า กับทางร้าน
แนะนำโปรแกรม Creality Print V5
สำหรับโปรแกรม Craelity Print เวอร์ชั่น 5 จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่เปลี่ยนทั้งรูปร่างหน้าตา และการทำงานของโปรแกรม ตัวโปรแกรมมีแม่แบบมาจาก Orca Slicer ซึ่งเป็นโปรแกรม Open source อีกหนึ่งตัว ที่นิยมใช้กันมาก เพราะปรับแต่งได้เยอะ และยังรองรับการปริ้นหลายสี สามารถใช้ได้กับเครื่องรุ่น K2 Plus ตัวโปรแกรมมีโหมด Monitor ที่สามารถเรียกดูภาพจากตัวเครื่องมาแสดงทีโปรแกรม รวมถึงยังรองรับการส่งไฟล์ผ่าน Wifi
หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยใช้ 3D printer มาก่อน ก็อาจจะยังสับสนอยู่ว่า ไฟล์ที่จะเอาไปพิมพ์กับเครื่อง ต้องเป็นไฟล์ประเภทไหน แล้วก็การได้ไฟล์พวกนี้ ทำได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้ทางร้านแนะนำให้อ่านบทความ 8 ขั้นตอนที่ถูกต้องในการใช้งาน เครื่องปริ้น 3D Printer ก่อนที่จะเริ่มใช้งานเครื่อง
สเปคคอมพิวเตอร์
ตัวโปรแกรมมีให้เลือก Download ไปใช้ใน Windows และ Mac OS แต่ตัว Window จะต้องเป็นเวอร์ชั่น 7 ขึ้นไปและต้องเป็น 64 Bit ส่วน Mac OS ต้องเป็นเวอร์ชั่น 10.14 หรือดีกว่า รองรับทั้ง Chip ของ Intel และ Apple Silicon
- Graphic Card ต้องรองรับ OpenGL 4.1
- ความละเอียดหน้าจอ 1920 x 1080
- ชิปประมวลผล Inter Core i3 หรือ AMD Athlon 64
- มีพื้นที่ใน Hard Disk อย่างน้อย 600 MB
- หน่วยความจำหรือ Memory อย่างน้อย 8GB
ดาวน์โหลดและติดตั้ง
สามารถเข้าไปเลือก Download ได้ที่เว็บของทาง Creality โดยที่เว็บจะมีหลายเวอร์ชั่น ให้เลือก เวลาเลือกให้เลือกตัวที่อยู่ด้านบนสุด จะเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

- สำหรับคนที่ใช้ Window
- สำหรับคนที่ใช้ Mac OS
หลังจาก Download เสร็จ ก็ให้ทำการติดตั้งโปรแกรมแบบปกติ
ตั้งค่าโปรแกรมใช้งานครั้งแรก
หลังจากทีติดตั้งโปรแกรมเสร็จแล้ว ให้ทำการเปิดโปรแกรมขึันมา ซึ่งตอนโปรแกรมครั้งแรก ตัวโปรแกรมจะถามถึงภาษาที่จะใช้แสดง และที่ตั้งของเครื่องที่ใช้งาน ซึ่งให้เลือกภาษาเป็น English หรือภาษาอังกฤษ ส่วน Locale หรือที่ตั้งให้เลือกเป็น Asia Pacific
เลือกรุ่นเครื่องที่ใช้
ต่อไปจะเป็นการเลือกรุ่นเครื่องที่ใช้ ซึ่งตรงนี้ต้องเลือกให้ถูกรุ่น เพราะจะเป็นการกำหนดพื้นที่ในการปริ้น รวมไปถึงค่า Profile ที่จะใช้ในการปริ้น ถ้าเลือกผิด แล้วนำไฟล์ไปใช้ อาจจะทำให้งานปริ้นเสียได้

ในกรณีที่ไม่มีรุ่นเครื่องที่ต้องการให้เลือก ให้กดปุ่ม Add เพื่อเป็นการเพิ่มเครื่องเข้าไป ซึ่งตัวโปรแกรม ก็จะมีเครื่องหลายรุ่นที่โปรแกรม เวอร์ชั่นนี้รองรับ

นำโมเดล 3 มิติ เข้ามาในโปรแกรม
สำหรับตัวไฟล์โมเดล 3 มิติ ที่ตัวโปรแกรมรองรับ จะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุล .STL / .OBJ / .STP ซึ่งไฟล์พวกนี้ สามารถที่จะบันทึกหรือ Export ออกมาจากโปรแกรมออกแบบ 3 มิติได้เกือบทุกตัว เวลาเอาไฟล์เข้า ให้กดปุ่ม Import Model ที่อยู่ด้านบน แล้วทำการเลือกไฟล์ 3 มิติ ที่ต้องการนำเข้ามาในโปรแกรม


ทำการ Slice เพื่อนำไฟล์ไปปริ้น
หลังจากนำโมเดลเข้ามาแล้ว ต่อไปจะเป็นการให้โปรแกรมสร้างไฟล์ ของทางเดินหัวพิมพ์ โดยเอาค่าต่างๆ ที่ตั้งในโปรแกรม มาสร้างเป็นไฟล์ สำหรับไปสั่งเครื่องให้ปริ้นงานขึ้นมา ซึ่งการ Slice จะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับความละเอียดของโมเดลที่นำเข้ามา หลังจาก Slice เสร็จ โปรแกรมจะสร้างแบบจำลองทางเดินของหัวพิมพ์ เพื่อเช็คก่อนจะส่งไฟล์ไปปริ้น ซึ่งตัวแบบจำลองยังแสดงเวลาที่ใช้ในการปริ้น รวมไปถึงปริมาณของเส้นพลาสติกที่จะใช้
ก่อนที่จะสร้างไฟล์ จำเป็นจะต้องจัดท่าทาง เลือกเส้นพลาสติกที่จะใช้ รวมไปถึงความละเอียด เพื่อให้โปรแกรมนำค่าเหล่านี้ ไปคำนวนและสร้างไฟล์ขึ้นมา ซึ่งถ้ากำหนดท่าทางในการปริ้นไม่ถูก หรือเลือกเส้นพลาสติกผิด ก็จะส่งผลให้งานปริ้นเสียได้
จัดท่าทางในการปริ้น
หลังจากนำโมเดล 3 มิติเข้ามาแล้ว สามารถที่จะขยับโมเดล ไปยังตำแหน่งปริ้นที่ต้องการ รวมถึงการหมุนและจัดท่าทางในการปริ้น การหาแนวหรือจัดวาง งานปริ้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่จะกำหนดว่า งานจะปริ้นได้หรือไม่ได้ รวมไปถึงยังเป็นตัวกำหนดเวลาที่จะใช้ในการปริ้น

สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยใช้ 3D printer มาก่อน แนะนำให้เอาส่วนที่เรียบและใหญ่ที่สุดวางแปะบนฐานพิมพ์ ซึ่งจะช่วยให้งานยึดแน่นไม่หลุดระหว่างปริ้น ตัวโปรแกรมจะมีฟีเจอร์ Place ทีจะเอาไว้เลือกด้านที่ต้องการวางบนฐานให้
เลือกเส้นพลาสติก
จัดท่าทางการปริ้นได้แล้ว ต่อไปจะเป็นการเลือกชนิดเส้นพลาสติกที่จะใช้ปริ้น ซึ่งพลาสติกแต่ละตัวจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และก็จะใช้ความร้อนในการฉีด และความร้อนของฐานปริ้นไม่เท่ากัน การเลือกเส้น Filament ต้องเลือกให้ตรงกับที่ใส่ในเครื่อง เพราะถ้าเลือกผิด จะทำให้งานปริ้นเสีย หรือปริ้นงานแล้ว ไม่ได้ขนาด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นพลาสติก สามารถเข้าไปอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการเลือกใช้เส้น Filament หรือเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์ 3D Printer
ตัวโปรแกรมจะมี Profile ของเส้นพลาสติกให้เลือก ซึ่งก็จะมีค่าความร้อนของทั้งหัวฉีดและฐานพิมพ์ รวมถึงอัตราการไหลของเส้น ตั้งมาไว้ให้แล้ว แค่เลือกให้ตรง และให้เป็นชนิดเดียวกัน


สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งใช้งานเครื่องครั้งแรก แนะนำให้ใช้เส้นพลาสติก PLA ในการทดลองปริ้น เพราะเป็นเส้นที่ปริ้นง่ายสุด งานปริ้นออกมาสวยสุด ให้รายละเอียดได้ดีที่สุด แต่มีข้อเสีย คือเปราะ ทนความร้อนสูงไม่ได้ ถ้าวางชิ้นงานที่ปริ้นไว้ในรถที่ตากแดด อาจจะทำให้ชิ้นงานเสียรูปได้
เลือกความละเอียด
เมื่อจัดท่าทางการปริ้นได้แล้ว ให้เลือก Profile หรือค่าการพิมพ์ ที่อยู่ฝั่งด้านขวา ซึ่งจะเป็นค่าที่ทางโปรแกรม เตรียมไว้ให้ โดยปกติจะใช้ค่าความละเอียดในการปริ้นอยู่ที่ 0.20 ถ้าค่านี้ยิ่งน้อย งานปริ้นจะยิ่งละเอียด แต่ก็จะใช้เวลาปริ้นนาน กลับกัน ถ้าค่าตัวนี้ยิ่งมาก งานก็จะเห็นเป็นรอยชั้นๆ ต่อกัน แต่งานปริ้นก็จะเสร็จเร็วกว่า

กด Slice และดูแบบจำลอง
เมื่อตั้งค่าทุกอย่างแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการสั่งให้โปรแกรมทำการ Slice และสร้างไฟล์ เพื่อนำไปปริ้นกับเครื่อง หลังจากที่สร้างไฟล์เสร็จ ตัวโปรแกรมจะเปลี่ยนไปที่แทบหน้าต่าง Preview เพื่อแสดงแบบจำลองทางเดินหัวพิมพ์ เพื่อให้ผู้ใช้ทำการเช็คทางเดิน ก่อนที่จะสั่งปริ้น

แทบหน้าต่าง Preview

ตัวโปรแกรมจะสร้างทางเดินหัวพิมพ์ และแสดงขึ้นมาในหน้าต่าง Preview ซึ่งในหน้าต่างนี้ จะมีแทบสไลด์ ที่สามารถเลื่อนขึ้นและลง เพื่อดูการปริ้นงานในแต่ละชั้น รวมไปถึงแทบแสดงหน้าต่างแยกส่วนประกอบของทางเดินหัวพิมพ์ สำหรับเช็คในแต่ละส่วนได้
- แทบสไลด์สำหรับเช็คทางเดินหัวปริ้นในแต่ละชั้น
- หน้าต่าง แสดงส่วนประกอบของทางเดินหัวพิมพ์ สามารถเปิดและปิดในแต่ละส่วนได้

ส่งไฟล์ไปปริ้น
เมื่อเช็คทางเดินหัวพิมพ์แล้ว ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ก็สามารถที่จะส่งไฟล์ไปปริ้นที่เครื่องได้เลย ซึ่งการสั่งปริ้น จะทำได้ 2 วิธีคือ ส่งไฟล์ผ่านระบบ Wifi กับอีกวิธีคือบันทึกไฟล์ลง USB Drive หรือ SD Card และนำไปเสียบที่เครื่อง แล้วเลือกไฟล์ที่บันทึก เพื่อสั่งปริ้น
ส่งไฟล์ปริ้นผ่านระบบ LAN หรือ Wifi

สำหรับวิธีนี้ ต้องแน่ใจก่อนว่าตัวเครื่องปริ้น ได้มีการเชื่อมต่อระบบ Network ไว้แล้ว เพราะถ้ายัง ตัวโปรแกรมจะหาเครื่องไม่เจอ สำหรับการเชื่อมต่อ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและวิธีการได้ ตามรุ่นเครื่องที่ใช้
- กดปุ่ม Print Plate
- เลือกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่ในระบบ Network ซึ่งจะแสดงเป็นเลข IP Address สามารถดูได้ที่หน้าเครื่อง ว่าเป็นเลขอะไร
- กดปุ่ม Print
ก่อนที่จะกดปุ่ม Print แนะนำให้เลือกคำสั่ง Print Calibration ที่อยู่ด้านใต้เลข IP Address ด้วย เพื่อให้เครื่องทำการวัดระดับฐาน ก่อนที่จะปริ้นงาน และเวลาที่กดปุ่ม Print ต้องแน่ใจว่าไม่มีงานค้างอยู่ เพราะถ้ามี ตัวงานที่คัางอยู่ จะไปชนกับหัวฉีด ทำให้เครื่องเสียหายได้
ส่งไฟล์ปริ้นผ่าน USB Drive หรือ SD card

สำหรับบางสถานที่ อาจจะไม่สามารถต่อเครื่องเข้ากับ LAN หรือ WIFI ได้ ซึ่งถ้าจะสั่งปริ้น ก็สามารถทำได้โดยบันทึกไฟล์ ที่ผ่านการ Slice แล้วลงใน USB Drive หรือไม่ก็ SD Card ซึ่งขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่อง เวลาบันทึกไฟล์
- กดปุ่มลูกศรข้างๆ ปุ่ม Print Plate
- เลือกคำสั่ง Export Plate

เลือก Drive ทีจะทำการบันทึกไฟล์ เมื่อบันทึกเสร็จแล้ว ก็นำไปเสียบที่เครื่อง แล้วเลือกไฟล์ที่บันทึกไว้ เพื่อสั่งปริ้น
การดูการทำงานเครื่องผ่านโปรแกรม

ตัวโปรแกรมจะมีแทบ Device ที่สามารถจะ Remote เข้าไปที่เครื่องปริ้น เพื่อที่จะควบคุมเครื่อง และดูการทำงานผ่านกล้องที่ติดอยู่ในเครื่อง นอกจากจะดูกล้องได้แล้ว ยังสามารถที่จะปรับความเร็ว หรือความร้อนของหัวฉีดและฐานพิมพ์ได้ รวมไปถึงการดึงไฟล์วิดีโอ ที่บันทึกไว้ ออกจากเครื่อง
การดูการทำงานผ่านกล้อง ต้องขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องที่ใช้ เพราะบางรุ่นไม่มีกล้องติดมา ต้องซื้อติดตั้งเพิ่ม และเครื่องจำเป็นต้องเชื่อมต่อเข้ากับระบบ LAN เพื่อ Remote เข้าไปดูกล้อง